วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Small IT Business Group Project




สืบเนื่องจากประสบการณ์ในการทำธุรกิจด้าน ไอที ที่ผ่านมาทำให้มองเห็นสภาพปัญหา และอุปสรรค์ มากมายที่เกิดขึ้น แต่ เพราะความตั้งใจ และ รักในการทำงานด้านไอที จึงทำให้อุปสรรค์ที่เกิดขึ้น กลายเป็นสิ่งที่ท้าทาย และ เป็นสิ่งที่ทดสอบความสามารถอย่างดียิ่ง
การเขียนบทความนี้ เพื่อชี้ชวน เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ (คล้าย ๆ แผนธุรกิจ) เน้นย้ำว่า ผลประโยชน์ทางธุรกิจ คือ ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลประโยชน์อย่างยุติธรรม ผลประโยชน์ที่ได้มานั้นไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และไม่มีการเอาเปรียบได ๆ เน้นการทำธุรกิจแบบธรรมาภิบาล บนหลักการของประชาธิปไตย (ยอมรับเสียงข้างมากและงานวิจัย) หากผู้ที่อ่านแล้วไม่เห็นด้วยก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้ แต่หากผู้ที่อ่านเห็นด้วยก็ถือเป็นการเชิญชวนเพื่อร่วมอุดมการและเดินหน้าสู่เป้าหมายที่เราได้ตั้งใจไว้
การเข้าไปรับงานใหญ่ ๆ ซึ่งหากมีเงินทุนน้อยนิดไม่สามารถกระทำได้ทำอย่างไร ?

คิดมูลค่าของการบริการออกมาเป็นรูปธรรมได้อย่างไร ?

คุณคิดอย่างไรกับการขอแรงให้ทำงานให้ฟรี ๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- ซื้อ Printer (หรืออุปกรณ์อะไรก็ได้ที่จะต่อกับ คอมพิวเตอร์) มาใหม่ ไปติดตั้งให้หน่อยสิ
- เครื่องติด Virus ไปดูให้หน่อยสิ
- ซื้อเกมส์มาติดตั้งไม่ได้ไปทำให้หน่อย
- ทำ Presentation ไม่เป็น ทำให้หน่อยนะ
- ว่าง ๆ ยกเครื่องไป Format ให้หน่อยนะ
- เครื่องเปิดไม่ติด ดูให้หน่อยสิ
- ต่อ Wireless อย่างไรดี
- ทำการ์ดอวยพรให้หน่อยสิ
- ดูให้หน่อยสิ จะซื้อรุ่นไหนดี
- พาไปซื้อ … หน่อยสิ
- แต่งรูปให้หน่อยนะ
- ช่วย Post ขายของใน Net ให้หน่อยสิ
- ทำคาราโอเกะให้หน่อย
- จำ Password ไม่ได้ช่วยหน่อยสิ
- ไม่รู้ File หายไปไหนกู้ให้หน่อย
- ฯลฯ

การทำให้ฟรี ๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจะด้วยความเกรงใจซึ่งกันและกัน (ซึ่งอาจจะไม่ค่อยเต็มใจนัก) หรือด้วยความเต็มใจก็ตาม
หากจะถามว่า หากคุณมีน้ำใจ และ ยินดีที่จะทำให้โดยปราศจากสิ่งตอบแทนใด ๆ คงจะเป็นสิ่งที่สร้างคุณประโยชน์ไม่น้อย (คนที่คุณจะทำให้ฟรี ๆ โดยไม่ตะขิดตะขวงคงมีอยู่แค่ พ่อ แม่ แฟน สามี ภรรยา ลูก ......แล้วใครอีก) แต่ หากเข้าใจถึงคำว่า การทำธุรกิจ แล้ว ทุกอย่างคงต้องมีต้นทุนการดำเนินการในทุกขั้นตอน เพราะผู้ที่ได้อย่างเป็นรูปธรรมคือผู้ที่ขอแรงเพียงฝ่ายเดียว
หน้าที่ของพวกเราคงต้องคิดอัตราค่าเสียเวลา ค่าความรู้ ค่าบริการ …..ฯลฯ และประชาสัมพันธ์ หรือประกาศให้โลกรู้ว่า ทำอะไร มีราคาเท่าไหร่ก็คงจะเพียงพอโดยผู้ที่ขอแรงจะรู้อยู่แก่ใจว่า งานที่ได้รับมาฟรี ๆ นั้น มีมูลค่าเท่าได

มูลค่าทางธุรกิจของการบริการข้างต้น มีมากมายมหาศาลเพราะ Demand มีมากกว่า Supply หากนำมาสร้างเป็นระบบธุรกิจได้จะเกิดประโยชน์ มากกว่าโทษ

- เพื่อรวบรวมผู้ที่มีความรู้ความสามารถด้าน ไอที (ทั้งบุคคล และ นิติบุคคล) และมีอุดมการเดียวกัน ให้มาทำงานร่วมกันในการสร้างนวัตกรรม สร้างธุรกิจร่วมกัน เพื่อการพัฒนาไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านสารสนเทศ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างมากมาย ผู้ที่มีความรู้ความสามารถก็มีมากมายเช่นเดียวกัน ผู้ที่มีความสามารถเหล่านั้นต่างก็มีจุดมุงหมายของชีวิตต่าง ๆ กัน แต่หากเรารวบรวมเป้าหมายในชีวิตของบุคลากรเหล่านั้นให้มีการทำงานร่วมกัน แต่อยู่กันคนละสถานที่ ปัจจุบัน ยังไม่มีระบบได เข้ามาจัดการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ผู้ที่มีความสามารถดังกล่าวเข้ามาร่วมมือประสานงานกันอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
แต่หากเราสามารถสร้างศักยภาพขึ้นโดยรวบรวมผู้ที่มีความรู้ความสามารถเหล่านี้ได้ โดยมุ่งเน้น ให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วมากกว่าที่จะดำเนินการเพียงลำพัง

การดำเนินงาน

- กำหนดคุณสมบัติผู้เข้าร่วมสมาชิก (เลือกผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ มีจริยธรรม)
- ร่างกฎระเบียบแห่งการเป็นสมาชิก
- วางแผนการดำเนินงาน
- กำหนดเป้าหมายและนโยบายของกลุ่ม
- เลือกประธาน คณะกรรมการ และคณะทำงาน เพื่อดำเนินการตามนโยบาย
- กำหนดความถี่ในการประเมินผลการดำเนินงาน

http://small-it-business-group.pantown.com/

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

MBA นอกจอ






พูดถึงเรื่อง MBA ลองคิดเล่น ๆ กันดู อย่าจริงจังมากกับ Idea นี้นะครับ
ช่วงที่ MBA ดัง ใคร ๆ ก็ เข้าไปเรียนกันมากมาย ส่วนมาก เรียนเพื่ออะไร ต้องตอบคำถามกันหน่อย ตั้งวัตถุประสงค์ของการเรียนให้เด่นชัด แต่ก็ต้องออกตัวก่อนว่า ผู้เขียน ไม่ได้จบ MBA รู้แต่เปลือก หรือจะเรียกว่า รู้แต่หัวข้อ ที่ได้เรียนกันนั่นเอง เอาเป็นว่า จุดประสงค์ของการเรียน มีว่าอย่างไรลองตั้งหัวข้อกันดูว่ามีอะไรบ้าง

1.เรียนเพื่อ เอาวุฒิ (จะได้คุยได้ว่า “ ข้าก็จบ MBA มา เพราะฉะนั้น ข้ารู้แล้ว จะทำไม่ทำ อีกเรื่อง.”).
2.เรียนเพราะ จะเอาไป เพิ่มตำแหน่งหน้าที่ การงาน เพิ่มเงินเดือน เพิ่มการเจรจาต่อรองกับนายจ้างหรือใครก็ตาม.
3.เรียนเพื่อเอาไป ทำมาหากิน เรียนเพราะต้องการความรู้ เรียนเพราะ เอาไปใช้ในกิจการตัวเอง.
4.เรียนตามคำสั่ง เช่น พ่อแม่ต้องการให้เรียน เรียนตามเพื่อน เรียนเพราะเจ้านายให้เรียน อะไรทำนองนี้.

นอกเหนือจากนี้ต้องมีอีกแน่ แต่ เอาแค่นี้ก่อน

และที่อยากจะเปิดประเด็นมากที่สุดคือ ข้อ 3.
นี่เป็นเพียงไอเดียหนึ่งเท่านั้น ไม่มีผิด ไม่มีถูก และก็ ไม่มีข้อสรุป คือ
เราลองคิดดูว่า นิสัย การค้าขาย มีอยู่ใน สัญชาตญาณ ของทุกคนหรือไม่ แต่ผมว่า “ไม่” เนื่องจาก ทุกคน เกิดมา ก็โดนหัดให้ซื้อก่อน ตั้งแต่ เด็ก ๆ เลย ผมส่งลูกหลานเข้าโรงเรียน ยังเรียนอยู่ชั้น อนุบาล อยู่มาวันหนึ่ง คุณครู ท่านก็บอกว่า ให้นักเรียน เอาตังส์มาโรงเรียน คนละ สิบบาท เหตุผลคือ จะหัดให้ใช้ตังส์ จะได้ใช้ตังส์เป็น ผมว่า ไอ้เรื่องใช้ตังส์ เนี่ย ไม่ต้องหัดหรอกครับ ใช้เป็นกันทุกคนแน่
แต่เรื่องขาย นี่สิ การเรียน MBA ผมว่า ก็คือการเรียนการค้าขาย ระดับ ปริญญาโทนั่นแหละ ไม่ว่า จะเรื่อง การเงิน การธนาคาร การบริการลูกค้า ความพึงพอใจของลูกค้า ระบบเศรษฐกิจ อุปสงค์ อุปทาน วงจรธุรกิจ การลงทุนต่าง ๆ ฯลฯ.........
ค่าเรียนขั้นต่ำ ก็เฉลี่ย ประมาณ สามแสนห้า (เบ็ดเสร็จจนจบ) ประมาณนี้ บวกลบซัก ห้าหมื่น ถ้าเป็นเมืองนอกก็อีกเรื่อง อันนี้เมืองไทย ค่าใช้จ่ายก็ราว ๆ นี้ จบมา ได้ ปริญญาโท มาใบนึง
เสร็จแล้ว ได้ความมั่นใจระดับหนึ่ง
ลองคิดเล่น ๆ อีกแล้ว ถ้าเอาเงิน สามแสนห้า มาเปิดบริษัทของตัวเองดู (มีเงินแค่นี้เปิดบริษัทตัวเองสบายมาก ผมลองแล้ว) สถานการณ์จะบีบบังคับ ให้รู้เรื่อง MBA อัตโนมัติ แต่ จากชีวิตจริง ไม่ใช่ตำรา โดยมีแนวคิดว่า
ถ้า เจ๊ง ก็ ถือว่า เรียน MBA ไม่จบ เสียเงินไปฟรี ๆ (ถ้าคิดแล้วสบายใจนะหรือจะหาวิธีคิดอื่นมาสนับสนุนก็แล้วแต่)
แต่ถ้าไม่เจ๊งล่ะ ?? แล้วมันจะเป็นไง นอกจาก จะได้ ธุรกิจ ที่เหมาะสมกับนิสัยใจคอเราแล้ว ยังได้ Connection ได้คนรู้จัก ได้ทำบุญ ได้ประสบการณ์ ฯลฯ
ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็มีต้นทุนทั้งนั้น มันคือต้นทุนชีวิต ที่ต้องจ่าย ชีวิตนี้ เกิดมาแล้ว อย่ากลัวตาย อย่ากลัวล้มเหลว ลองเอาความเสี่ยง มาชั่งน้ำหนัก สร้างความหนักแน่นขึ้นมาในใจให้ได้ ปล่อยเวลาผ่านไปวัน ๆ โดยไม่ทำความฝันให้สำเร็จนั้น ไม่ผิด เพราะทางนั้น มันก็คือความฝันของคนคนนั้นแล้ว นั่นเอง ความสำเร็จของเขา คือ

เรียนจบ ทำงานตามคำสั่ง รับเงินเดือน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งลูกเรียน เกษียร รับบำนาญ ...
วงจรนี้ ก็เป็นวงจรที่สบายไม่เลว ถ้าได้เลือกแล้วว่าจะเดินทางนี้

แต่ผม ไม่ได้ฝัน แบบนั้น ผมว่า มีทางอื่น ที่ดีกว่านี้ :)........

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ซื้ออย่างฉลาด ทำอย่างไร





ระบุวัตถุประสงค์ของการชื้อให้แน่ชัด เขียนใส่กระดาษไว้ได้ยิ่งดี เพราะ เมื่อท่านกำลังที่จะตัดสินใจซื้อของ จุดประสงค์ หรือความต้องการจะเปลี่ยนแปลงไป บางครั้งอาจแตกต่างจากเริ่มต้นอย่างสิ้นเชิง เมื่อท่านไปเจอ Promotion หรือ กลยุทธ์ส่งเสริมการขายต่าง ๆ จนทำให้เกิดความคล้อยตาม จนบางครั้ง กลายเป็นความไม่คุ้มมากกว่า เช่น
- ซื้อ 1 แถม 1 ในราคาที่ถูกกว่าซื้อ ทั้ง 2 พร้อม ๆ กัน (อย่างไรก็ตาม ท่านต้องจ่ายแพงขึ้นอยู่ดี)
- ชื้อ 1 ชิ้น ในราคาชิ้นเดียว และแถมอีก 1 ชิ้น (มันต้องมียี่ห้อที่ต่างจากที่ตั้งใจไว้แต่ต้นแน่ ๆ , คุณสมบัติ,วัสดุ,ความทนทาน,หรือแม้กระทั้งทุกอย่างอาจเหมือนกัน แต่ลดต้นทุนโดยใช้แรงงานเด็ก,มันต้องต่างกันแน่ ๆ) ทั้งสองข้อเป็นเพียงตัวอย่างนั้น มี กลยุทธ์ อีกมากมายที่ผู้ขายนำมาใช้เพื่อดึงเงินออกจากกระเป๋าท่าน
ไม่ว่า กลยุทธ์ใด ที่ผู้ขาย นำมานำเสนอ ไม่มีทางที่จะขาดทุน อย่างแน่นอน
จึงสรุปว่าถ้า ท่านต้องการจะซื้อ ใส่วัตถุประสงค์ให้แน่ชัดว่า
- ซื้อมาทำอะไร
- คุณสมบัติที่ต้องการเป็นอย่างไร
- เอามาทำอะไร
- ได้ในราคาเท่าไหร่
ถ้าท่านคิดไว้แล้วตั้งแต่ต้นว่า ได้ตามนี้ บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ก็อย่าไปเสียดายอะไรอย่างอื่นเลย เช่น ของแถม, ยี่ห้ออื่นลดราคา, มี Promotion ,หรือแม้กระทั่ง ไปเจอที่อื่นถูกกว่าหลังจากนั้น .... แต่ในเมื่อ บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ก็ ไม่มีอะไร ดีกว่าแล้วแน่นอน.......
แล้วของที่ไม่ได้ใช้ จะไม่เต็มบ้านท่าน โดยหากท่านนำของเหล่านั้นมารวบรวมคิดมูลค่าแล้ว อาจจะได้เงินเก็บซักก้อนนึงยังได้



วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ซื้อถูก ซื้อแพง ซื้อคุ้มค่า






เรื่องซื้อของไม่ว่าอะไรก็ตาม คนซื้อในบ้านเรา เน้นเรื่องราคาเป็นหลักอยู่แล้ว

ของยี่ห้อเดียวกัน Spec เดียวกันเปี๊ยบครับ ราคาถูกกว่า ห้าบาท สิบบาท ก็ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจที่จะจ่ายถูกกว่าก่อนเป็นอันดับแรก
แต่ถ้าต่างกันหลักร้อย ก็ไม่ต้องพูดถึงแน่นอนครับว่า ผู้ซื้อไม่เลือกซื้อคนที่ขายแพงกว่าแน่ ๆ
แต่มีอยู่อย่างนึงที่อยากฝากเพื่อนๆ ครับ ที่อาจต้องช่วยกันสนับสนุนผู้ที่ตั้งใจและจริงใจในการประกอบธุรกิจจริง ๆ

เรื่องของการ Claim ก็เป็นตัวอย่างการบริการอย่างหนึ่งเช่นหาก เพื่อน ๆ ซื้อจอ LCD ยี่ห้อ A มาจากร้าน N ครับ
ใช้ได้ ประมาณ 1 เดือนเสียครับเปิดไม่ติด ที่แน่ ๆโดยปกติ คือ เพื่อน ๆ ต้องยกจอ LCD ยี่ห้อ A นั้น เลือกเอาว่า จะไปที่ศูนย์ A หรือ ร้าน N
แล้วก็รอครับว่าจะได้ของเมื่อไหร่แต่ถ้าร้าน N มีข้อเสนอว่า

จะไปรับจอ LCD นั้นให้ถึงบ้านแล้วก็ เอาจอ LCD สำรอง หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบไปให้ใช้งานก่อนระหว่าง Claim ครับ เพื่อน ๆ จะเลือกซื้อกับร้าน N ที่แพงกว่าหรือเปล่าก็ลองตัดสินใจดูครับนี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการบริการที่อยากจะบอกว่า
เงินในกระเป๋าของเรา เราเป็นคนตัดสินใจอยู่แล้ว
แต่ก่อนจะจ่ายต้องคุ้มค่าครับ จึงอยากจะบอกว่า
ตัดสินใจอย่างคุ้มค่ากับตัดสินใจซื้อถูกต่างกันครับ

นาวิน ขำแป้น


www.nature-it.co.th
nature-it.hi5.com

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ความเชื่อที่เป็นไปได้




ความเชื่อที่เป็นไปได้
เชื่อในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล .......เชื่อในสิ่งไม่มีเหตุผล.......เชื่อในบางสิ่งบางอย่าง.........
อะไรคือเหตุผล.......พิสุจน์ได้งั้นหรือ---->ไม่ใช่
อะไรคือไม่มีเหตุผล.......พิสูจน์ไม่ได้งั้นหรือ---->ไม่ใช่
บางสิ่งบางอย่าง เป็นไปไม่ได้ -------> ไม่มี
ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นความเชื่อ และ ศรัทธา อย่างมุ่งมั่น จริงจัง และ จริงใจ คือความเป็นไปได้
แม้จะใช้เวลา ทั้งชีวิตก็ตาม หรือชั่วชีวิตนี้ ถ้ามีคนสืบทอด มันจะเป็นไปได้ซักวัน
แม้ว่า ช่วงชีวิตนี้จะไม่ได้เห็นมัน
แต่เราจะได้เห็นมัน
และได้สำผัสมัน
อย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ประสบการณ์บางอย่าง แค่ตั้งใจเรียนรู้ ก็สามารถย่อโลกได้แล้ว ไม่ต้อง พยายามทั้งชีวิตหรือชั่วชีวิต
แต่..............มีประสบการณ์บางอย่าง ที่ต้องสัมผัสเองเท่านั้น ไม่สามารถถ่ายทอดได้
ลงมือทำ


วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2550

จงเรียงลำดับความต้องการจากมากไปหาน้อย






ฟังหูใว้หู ดูเพลิน ๆ
นายกในอุดมคติ = คนดี,ไม่โกง,ไม่กิน,รักชาติ,ประชาชนอยู่ดีกินดีทุกคน,มีวิสัยทัศน์,มีความรู้,เก่ง,ฉลาด,ฯลฯ.
ให้ A = นายกเป็นคนดี
ให้ B = นายกเป็นคนไม่ดี
ให้ C = ไม่รู้ว่านายกเป็นคนดีหรือไม่ดี
ให้ D = ประชาชนอยู่ดีกินดี
ให้ E = ประชาชนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ให้ F = ประชาชนมีชีวิตแย่ลง
จงเรียงลำดับความต้องการจากมากไปหาน้อย
1. A=D
2. A=E
3. A=F
4. B=D
5. B=E
6. B=F
7. C=D
8. C=E
9. C=F


คอมพิวเตอร์คืออาชีพ






ผมอยู่ในวงการ Computer มามากกว่า 10 ปี ตั้งแต่จำความได้ ซื้อ Computer เครื่องแรก เป็นของส่วนตัวตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ซื้อมาวันแรกก็ถอดชิ้นส่วนออกหมด แล้วประกอบเข้าไปใหม่ ใจเต้นตุ๊บ ๆ ต่อม ๆ ว่า มันจะ Work มั๊ยว้า แต่ในใจก็คิดว่า "ยังอยู่ในประกันน่า" ยังไงถ้าพังก็ Claim .....เชื่อมั๊ยครับว่า หลังจากประกอบเสร็จ มันใช้ได้ครับผม !!!! ตั้งแต่นั้นมา เป็นความมั่นใจส่วนตัว ไม่ว่า จะ Upgrade จะ Format จะ ทำอะไร ทำเองหมดทุกอย่าง ทุวันนี้ เวลา ผ่านมา นับ 10 ปีกว่ายังประกอบอาชีพด้าน Computer อยู่เลย แต่ที่ สังเกตุเห็นว่า คนเรียนจบ Computer ส่วนใหญ่แล้ว จะต้องไปเป็นพนักงานบริษัท ทำงานให้คนที่ไม่รู้เรื่อง Computer เลยด้วยซ้ำ เงินเดือนก็ไม่ได้แพงมาก อยู่ในเกณฑ์ Standard จริง ๆ แล้ว ในฐานะ ที่อยู่ในวงการมา ผู้ที่มีความรู้ด้านนี้ เป็นที่ต้องการมาก และเป็นบุคลากรที่ขาดไม่ได้ คือมีความจำเป็นในทุกวงการในปัจจุบัน