วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

MBA นอกจอ






พูดถึงเรื่อง MBA ลองคิดเล่น ๆ กันดู อย่าจริงจังมากกับ Idea นี้นะครับ
ช่วงที่ MBA ดัง ใคร ๆ ก็ เข้าไปเรียนกันมากมาย ส่วนมาก เรียนเพื่ออะไร ต้องตอบคำถามกันหน่อย ตั้งวัตถุประสงค์ของการเรียนให้เด่นชัด แต่ก็ต้องออกตัวก่อนว่า ผู้เขียน ไม่ได้จบ MBA รู้แต่เปลือก หรือจะเรียกว่า รู้แต่หัวข้อ ที่ได้เรียนกันนั่นเอง เอาเป็นว่า จุดประสงค์ของการเรียน มีว่าอย่างไรลองตั้งหัวข้อกันดูว่ามีอะไรบ้าง

1.เรียนเพื่อ เอาวุฒิ (จะได้คุยได้ว่า “ ข้าก็จบ MBA มา เพราะฉะนั้น ข้ารู้แล้ว จะทำไม่ทำ อีกเรื่อง.”).
2.เรียนเพราะ จะเอาไป เพิ่มตำแหน่งหน้าที่ การงาน เพิ่มเงินเดือน เพิ่มการเจรจาต่อรองกับนายจ้างหรือใครก็ตาม.
3.เรียนเพื่อเอาไป ทำมาหากิน เรียนเพราะต้องการความรู้ เรียนเพราะ เอาไปใช้ในกิจการตัวเอง.
4.เรียนตามคำสั่ง เช่น พ่อแม่ต้องการให้เรียน เรียนตามเพื่อน เรียนเพราะเจ้านายให้เรียน อะไรทำนองนี้.

นอกเหนือจากนี้ต้องมีอีกแน่ แต่ เอาแค่นี้ก่อน

และที่อยากจะเปิดประเด็นมากที่สุดคือ ข้อ 3.
นี่เป็นเพียงไอเดียหนึ่งเท่านั้น ไม่มีผิด ไม่มีถูก และก็ ไม่มีข้อสรุป คือ
เราลองคิดดูว่า นิสัย การค้าขาย มีอยู่ใน สัญชาตญาณ ของทุกคนหรือไม่ แต่ผมว่า “ไม่” เนื่องจาก ทุกคน เกิดมา ก็โดนหัดให้ซื้อก่อน ตั้งแต่ เด็ก ๆ เลย ผมส่งลูกหลานเข้าโรงเรียน ยังเรียนอยู่ชั้น อนุบาล อยู่มาวันหนึ่ง คุณครู ท่านก็บอกว่า ให้นักเรียน เอาตังส์มาโรงเรียน คนละ สิบบาท เหตุผลคือ จะหัดให้ใช้ตังส์ จะได้ใช้ตังส์เป็น ผมว่า ไอ้เรื่องใช้ตังส์ เนี่ย ไม่ต้องหัดหรอกครับ ใช้เป็นกันทุกคนแน่
แต่เรื่องขาย นี่สิ การเรียน MBA ผมว่า ก็คือการเรียนการค้าขาย ระดับ ปริญญาโทนั่นแหละ ไม่ว่า จะเรื่อง การเงิน การธนาคาร การบริการลูกค้า ความพึงพอใจของลูกค้า ระบบเศรษฐกิจ อุปสงค์ อุปทาน วงจรธุรกิจ การลงทุนต่าง ๆ ฯลฯ.........
ค่าเรียนขั้นต่ำ ก็เฉลี่ย ประมาณ สามแสนห้า (เบ็ดเสร็จจนจบ) ประมาณนี้ บวกลบซัก ห้าหมื่น ถ้าเป็นเมืองนอกก็อีกเรื่อง อันนี้เมืองไทย ค่าใช้จ่ายก็ราว ๆ นี้ จบมา ได้ ปริญญาโท มาใบนึง
เสร็จแล้ว ได้ความมั่นใจระดับหนึ่ง
ลองคิดเล่น ๆ อีกแล้ว ถ้าเอาเงิน สามแสนห้า มาเปิดบริษัทของตัวเองดู (มีเงินแค่นี้เปิดบริษัทตัวเองสบายมาก ผมลองแล้ว) สถานการณ์จะบีบบังคับ ให้รู้เรื่อง MBA อัตโนมัติ แต่ จากชีวิตจริง ไม่ใช่ตำรา โดยมีแนวคิดว่า
ถ้า เจ๊ง ก็ ถือว่า เรียน MBA ไม่จบ เสียเงินไปฟรี ๆ (ถ้าคิดแล้วสบายใจนะหรือจะหาวิธีคิดอื่นมาสนับสนุนก็แล้วแต่)
แต่ถ้าไม่เจ๊งล่ะ ?? แล้วมันจะเป็นไง นอกจาก จะได้ ธุรกิจ ที่เหมาะสมกับนิสัยใจคอเราแล้ว ยังได้ Connection ได้คนรู้จัก ได้ทำบุญ ได้ประสบการณ์ ฯลฯ
ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็มีต้นทุนทั้งนั้น มันคือต้นทุนชีวิต ที่ต้องจ่าย ชีวิตนี้ เกิดมาแล้ว อย่ากลัวตาย อย่ากลัวล้มเหลว ลองเอาความเสี่ยง มาชั่งน้ำหนัก สร้างความหนักแน่นขึ้นมาในใจให้ได้ ปล่อยเวลาผ่านไปวัน ๆ โดยไม่ทำความฝันให้สำเร็จนั้น ไม่ผิด เพราะทางนั้น มันก็คือความฝันของคนคนนั้นแล้ว นั่นเอง ความสำเร็จของเขา คือ

เรียนจบ ทำงานตามคำสั่ง รับเงินเดือน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งลูกเรียน เกษียร รับบำนาญ ...
วงจรนี้ ก็เป็นวงจรที่สบายไม่เลว ถ้าได้เลือกแล้วว่าจะเดินทางนี้

แต่ผม ไม่ได้ฝัน แบบนั้น ผมว่า มีทางอื่น ที่ดีกว่านี้ :)........